คนที่ต้องการจะท่องเที่ยวไทยฟาร์มจระเข้เห็นว่าเป็นฟาร์มจระเข้ขนาดใหญ่ เห็นว่าฟาร์มมีขนาดไหนกันบ้าง โดยเป็นฟาร์มอ่าวไทยที่มีขนาดใหญ่ เป็นฟาร์มจระเข้แบบที่เป็นธรรมชาติที่สุด โดยเรามีข้อมูลของฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ เป็นสวนสัตว์จระเข้ในจังหวัดสมุทรปราการ ประเทศไทย อุทยานอ้างว่ามีจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ถูกจองจำชื่อ ใหญ่ วัดได้ 6 เมตร (19 ฟุต 8 นิ้ว) และหนัก 1,114 กิโลกรัม (2,456 ปอนด์) ใหญ่เป็นหนึ่งในฟาร์มจระเข้กว่า 100,000 ตัวในฟาร์ม ผู้เยี่ยมชมฟาร์มจระเข้สามารถเห็นสัตว์หลากหลายชนิดนอกเหนือจากจระเข้ เช่น ช้าง สิงโต เสือ ลิง ลิงใหญ่ ม้า และฮิปโป มีการแสดงจระเข้ทุกวัน มีชื่อเสียงสำหรับนักแสดงที่เล่นกล เช่น เอาหัวและแขนเข้าไปในปากจระเข้ การแสดงช้างแสดงถึงความคล่องแคล่วของช้างขณะเดินไต่เชือก เล่นสเกตบอร์ด และเต้นรำ ผู้เข้าชมยังสามารถนั่งช้างระยะสั้น นั่งรถไฟ เพลิดเพลินกับการนั่งเรือพาย หรือสำรวจพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่ชาวไทย 300 บาท ค่าเข้าเด็ก 200 บาท คนไทยจ่ายค่าเข้าชม 60 บาท ชาวไทยต่างชาติยังจ่าย 300 Continue reading →
สวัสดีครับทุกท่านเมื่อพูดถึงเรื่องของการท่องเที่ยวแล้วสิ่งหนึ่งที่จะลืมเลือนไปไม่ได้เลยก็คือเรื่องของราคาที่พักครับซึ่งราคาที่พักเขาใหญ่นั้นเป็นที่รู้กันดีว่ามีมากมายหลายราคาด้วยกันและส่วนใหญ่แล้วนั้นก็มักที่จะลงเอยด้วยที่พักเขาใหญ่ที่มีราคาสูงเกินจริงจนทำให้เกิดมีคำถามตามมาครับว่าแท้จริงแล้วนั้นที่พักเขาใหญ่ราคาถูกแบบที่ตามรีวิวเขาว่าเอาไว้นั้นมันมีจริงหรือไม่หรือว่าเป็นเรื่องแต่งหลอกลวงซึ่งเราจะไปดูคำตอบกันในวันนี้ครับ สำหรับเรื่องราคาที่พักเขาใหญ่ราคาถูกนั้นผมเองต้องบอกอย่างนี้ครับว่ามันเป็นเรื่องที่มีจริงอย่างแน่นอนและอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ประการใดหากเพียงแต่ว่าผู้ที่กำลังมองหาที่พักเขาใหญ่ราคาถูกนั้นจำเป็นที่จะต้องค้นหาด้วยตัวเองครับโดยค่อยๆ ไล่สอบถาม ค่อยๆ ไล่ค้นหาไปทีละที่ๆ จนพบกับที่พักเขาใหญ่ที่มีสนนราคาค่าที่พักที่ตนเองพอใจและเหมาะสมกับงบประมาณของตนเอง ส่วนคนที่บอกว่าที่พักเขาใหญ่มีราคาแพงนั้นกมีอยู่เพียงแค่เหตุผลเดียวครับนั่นคือ “การขี้เกียจค้นหา” นั่นเอง หากจะถามว่าเราได้อะไรจากเรื่องนี้แล้วล่ะก็ผมเองก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้สอนให้เรารู้ครับว่าของต่างๆ บนโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีอยู่จริงทั้งสิ้นเพียงแค่ว่าตัวเราเองนั้นต้องรู้จักค้นคว้า ค้นหา มันซึ่งแน่นอนครับว่าหากเราตั้งใจจริงแล้วไซร้ย่อมไม่เกินความพยายามอย่างแน่นอนดังเช่นเรื่องของที่พักเขาใหญ่ราคาถูกนี้
ทัวร์ญีปุ่นเกี่ยวกับเมืองจำลองของโตเกียวในปีโชวะ 33 ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ เป็นการสร้างบรรยากาศ อารมณ์ของวันเก่าๆที่ดีในปีโชวะ 33 จะทำให้ผู้มาเยือนเกิดความคิดถึงและอยากลิ้มลอง รสชาติของราเมง และที่สำคัญบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปได้ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1958 นั่นเอง ซึ่งการคิดค้นครั้งสำคัญนั้น ได้เปลี่ยนประเทศญี่ปุ่นให้เป็นประเทศของผู้เชี่ยวชาญด้านราเมงพิพิธภัณฑ์ราเมงนั้นจะเป็นประวัติของราเมงในประเทศญี่ปุ่น มีการจัดแสดงเส้นราเมง น้ำซุป ท้อปปิ้งรวมถึงชามใส่ราเมงหลากหลายชนิด ส่วนในชั้นที่สองนั้น จะมีการจัดบรรยากาศจำลองของถนนและอาคารบ้านเรื่องของชิตามาชิเมืองเก่าของโตเกียว ซึ่งเป็นเมืองที่ราเมงได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จะมีร้านขายราเมงที่มีชื่อเสียงอยู่ประมาณ 9 ร้านให้นักท่องเที่ยวได้ลองชิม และหากใครอยากจะทานราเมงหลายๆร้าน ก็สามารถสั่งแต่ละชามเป็นไซส์เล็กได้ และสถานที่แห่งนี้รวมเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับราเมง ชั้นบนจะเป็นร้านค้าจำหน่ายสินค้าที่เกี่ยวกับราเม็ง เช่น ถ้วยชาม หรือ เส้นที่เอาไว้ทำราเม็ง นอกจากนั้นก็จะมีของที่ระลึกจำหน่ายอีกด้วย สามารถเลือกทานได้หลากหลายเมนู เรียกได้ว่าได้เที่ยวทัวร์ญี่ปุ่นด้วย ทานไปด้วยพบกับต้นฉบับราเมงแท้ๆ สูตรต้นฉบับกันเลย ต้นกำเนิดของราเมงมาจากจีน คือคำว่า “ราเม็ง” มาจากภาษาจีน “ราเมียน ทหารญี่ปุ่นได้คุ้นเคยกับอาหารจีนมาก่อนทำให้ราเม็งมีการขายได้ดียิ่งขึ้นราเม็งมักจะทานคู่กับ เนื้อหมู สาหร่าย คะมะโบะโกะ ต้นหอม และบางครั้งจะมีข้าวโพด ราเม็งมีการปรุงรสแตกต่างกันตามแต่ละจังหวัด เมื่อทานราเมงกันเสร็จแล้ว ถึงเวลาช้อปปิ้ง ของใช้ที่เกี่ยวกับเราเมงกันแล้วนะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นถ้วยราเมงแบต่างๆ เล็กใหญ่ แตกต่างกันไป และช้อนซุปดีไซส์ แบบญี่ปุ่น Continue reading →
ในปัจจุบันนี้การไปทัวร์ออสเตรเลียก็ได้ไม่ยากเย็นแสนเข็ญเหมือนอย่างในสมัยก่อนอีกต่อไปแล้ว เพราะการคมนาคมที่สะดวกขึ้น ความหลากหลายทางการท่องเที่ยวมีมากขึ้นและประเทศออสเตรเลียก็เปิดกว้างสำหรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น โดยชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่นั้นจะมีรูปร่าง ลักษณะ หน้าตา การใช้ภาษาเป็นไปในทางเดียวกันกับชาวอังกฤษและอเมริกา แต่การใช้ชีวิตนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างไปอยู่พอสมควร เนื่องจากประเทศออสเตรเลีย เป็นประเทศเกิดขึ้นจากการรวมตัวของคนหลายๆ ชาติ จึงทำให้มีหลากหลายวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นดนตรี งานฝีมือ และศิลปะ อีกทั้งรสชาติของอาหารก็มีการผสมผสานมาจากทุกมุมโลก ตรงนี้นี่เองที่ทำให้การไปทัวร์ออสเตรเลียเพียงแค่ครั้งเดียว ก็เปรียบเสมือนการได้ไปทั่วโลก บางครั้งถ้าหากเราไปทัวร์ออสเตรเลียอาจจะได้เจอชนพื้นเมือง อย่างชาวอะบอริจินมาเล่นดนตรีให้ดูทั้งสองข้างทางก็เป็นได้ เราอาจจะหยุดดูหรือถ่ายรูปก็ไม่มีผิดอะไร และที่สำคัญชาวออสเตรเลียให้ความสำคัญกับกีฬาและอาหารเป็นอย่างมาก จึงทำให้มีร้านอาหารหลายๆ แห่งได้รับรางวัลจากทั่วโลก อีกทั้งเป็นเพราะสภาพอากาศการตั้งแต่เหนือจรดใต้มีสภาพที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ทำให้มีผลผลิตที่มากมายหลากหลายรสชาติ ไม่เพียงแต่เหมาะที่จะไปท่องเที่ยวแล้ว ก็ยังมีเด็กไทยจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ไปเรียนต่อที่นี่ เพราะคุณภาพชีวิตของประชาชนขาวออสเตรเลียค่อนข้างมีมาตรฐานสูงจึงทำให้เป็นประเทศที่มีการศึกษาดีติดอันดับ 8 ของโลก กีฬาที่สำคัญของชาวออสเตรเลียก็คือฟุตบอลออสเตรเลียนรูลส์ มีลักษณะคล้ายรักบี้และอเมริกันฟุตบอลรวมกันทำให้เราสนุกไปกับมันได้อย่างง่ายดายโดยที่แทบจะไม่ต้องเข้าใจกติกาด้วยซ้ำ หากวันใดที่เราได้ไปทัวร์ออสเตรเลียและบังเอิญว่าตรงกับวันแข่งฟุตบอลออสเตรเลียนรูลส์ ก็ไม่ควรที่จะพลาดชม เพราะเราจะได้รับความสนุก ซึมซับและสัมผัสความรู้สึกของชาวออสเตรเลียแบบเต็ม 100 อีกด้วย
ผมมักได้ยินคำถามจากคนที่ยังไม่เคยมีโอกาสไปทัวร์มัลดีฟส์อยู่บ่อยๆ ว่าหากไปทัวร์มัลดีฟส์ด้วยตัวเองต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่จึงจะพอ ซึ่งในเรื่องนี้นั้นต้องบอกเลยครับว่าตอบยากมากและกะเกณฑ์เป็นตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้เพราะเนื่องจากว่าการไปทัวร์มัลดีฟส์นั้นเป็นการไปทัวร์ยังต่างประเทศ ต่างชาติ บ้านเมือง แน่นอนว่าย่อมต้องมีเรื่องของอัตราและเปลี่ยนเงินตราหรือสกุลเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ เองก็ไม่ได้มีการ fix ตายตัวว่าเป็นเงินเท่าไหร่ดังนั้นการที่จะให้กำหนดค่าใช้จ่ายของการไปทัวร์มัลดีฟส์จึงต้องเป็นเพียงแค่การประมาณการเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วหากไปทัวร์มัลดีฟส์ 4 วัน 3 คืนโดยไปกับบริษัททัวร์สนนราคาก็อยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นนิดๆ โดยประมาณแต่ถ้าอยู่ยาวกว่านั้นและมีโปรแกรมทัวร์ที่มากค่าใช้จ่ายก็ย่อมที่จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จากการสำรวจของสำนักการท่องเที่ยวนานาชาติระบุว่าคนส่วนใหญ่ใช้เงินสำหรับการไปเที่ยวมัลดีฟส์ 7 วัน 6 คืนอยู่ที่ 5 หมื่นต้นๆ เรื่อยไปจนถึง 6 หมื่นปลายๆ โดยค่าใช้จ่ายที่ว่านี้เป็นค่าใช้จ่ายที่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับ ค่าที่พักอาศัย ค่าเดินทางในประเทศ ค่าอาหารการกินรวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหากเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการไปเที่ยวต่างประเทศที่อื่นแล้วมัลดีฟส์ยังมีราคาที่สูงกว่าอยู่เล็กน้อย แตอย่างไรก็ดี ตามความคิดส่วนตัวของผมเองผมคิดว่าหากจะไปทัวร์มัลดีฟส์แล้วล่ะก็โปรแกรมทัวร์ 4 วัน 3 คืนดูท่าจะเหมาะสมที่สุดครับเพราะเนื่องจากว่ามัลดีฟส์เองเป็นสถานที่ๆ มีแหล่งท่องเที่ยวไม่มากนั่นเอง
สวัสดีครับคนรักการท่องเที่ยวทุกท่านมีหลายท่านในที่นี้ถามกันมาว่าหากคิดจะไปทัวร์เวียดนามสักครั้งจะไปกับบริษัททัวร์ที่เขาจัดทัวร์เวียดนามเองหรือจะบุกเดี่ยวตลุยทัวร์ด้วยตัวของตัวเองและหาจะคิดใช้บริการบริษัททัวร์ที่มีโปรแกรมทัวร์เวียดนามแล้วค่าใช้จ่ายจะตกประมาณเท่าไหร่และหากไปเองจะมีค่าใช้จ่ายมากหรือน้อยกว่ากว่าการใช้บริการจากบริษัททัวร์ดังนั้นในวันนี้ผมเองจะมาไขคำตอบให้ทุกท่านได้ฟังกันครับ สำหรับคนที่เพิ่งจะไปทัวร์เวียดนามเป็นครั้งแรกผมขอแนะนำให้ใช้บริการจากบริษัททัวร์เป็นการดีที่สุดครับเพราะเนื่องจากว่าตัวของผู้ที่ไปทัวร์เองอาจจะยังมีความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวของประเทศเวียดนามไม่มากพอดังนั้นในการไปครั้งแรกจึงควรไปกับผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการเพราะเนื่องจากว่าเราจะได้รู้ข้อมูลต่างๆ และในครั้งต่อๆ ไปเราก็สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งบริษัททัวร์อีกต่อไป ส่วนค่าใช้จ่ายในการไปท่องเที่ยวเวียดนามกับบริษัททัวร์นั้นโดยทั่วไปแล้วหากเป็นการเดินทาง 4 วัน 3 คืนค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 บาทถึง 20,000 บาทแล้วแต่โปรแกรมทัวร์ว่าจะไปทัวร์ที่ไหนบ้างซึ่งหากเทียบกับการไปทัวร์เวียดนามด้วยตัวเองแล้วจะมีสนนราคาที่ถูกกว่าอยู่มากครับ แต่อย่างไรก็ดีการที่จะเลือกว่าไปทัวร์เวียดนามแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับความพร้อมและความต้องการของผู้ท่องเที่ยวเป็นสำคัญครับบทความนี้เป็นเพียงแค่ข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นซึ่งไม่ถือว่าเป็นข้อบังคับหรือข้อยุติแต่อย่างใด
การไปทัวร์ภูฏานแล้วนอกจากได้ชมธรรมชาติ ยังได้สัมผัสกับวิถีชาวพุทธอย่างแท้จริงด้วยครับ เพราะที่ภูฏานนั้นเต็มไปด้วยสถานที่สวยงามตามธรรมชาติและสถานที่ที่เต็มไปด้วยความศรัทธา ดังนั้นระหว่างการทัวร์ภูฏานหากจะเป็นประชากรตามวัดต่าง ๆ กำลังสวดมนต์หรือนับลูกประคำก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นเรื่องที่ประชากรภูฏานพึงปฏิบัติครับผม ฉะนั้นเราดูกันดีกว่าครับ ว่าชาวภูฏานมีการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง 1. ชีวิตที่เรียบง่าย ในทุกหนทุกแห่งที่คุณได้ไปทัวร์ภูฏาน คุณจะได้เห็นการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายซึ่งปฏิบัติมาต่อรุ่นสู่รุ่น ชาวภูฏานล้วนแล้วแต่มีความสุข แม้ว่าชีวิตไม่ได้ฟู่ฟ่าหรูหรา แต่ก็พอใจในชีวิตที่เป็นอยู่ ดังนั้นการทัวร์ภูฏานจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มของชาวภูฏานที่มีให้นักท่องเที่ยวอย่างจริงใจครับ 2. ชีวิตที่พอเพียง ชาวภูฏานแม้จะมีชีวิตที่พอเพียงแต่ก็มีความสุขในสิ่งที่สืบทอดกันมาช้านานครับ ไม่จำเป็นต้องมีของแพงๆ หรือเทคโนโลยีก้าวหน้าอะไร ชาวภูฏานก็มีความสุขได้ในสิ่งที่พวกเขามี ซี่งถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปขนาดไหน ชาวภูฏานก็ไม่ได้หมุนตามกระแสด้วยวัตถุนิยมครับ ดังนั้นหากคุณไปทัวร์ภูฏานคุณอาจจะไม่ค่อยจะได้รับความสะดวกในเรื่องของเทคโนโลยีมากนัก 3. ชีวิตที่เต็มได้ด้วยความสุข เมื่อเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้าถึงภูฏานได้น้อย ชาวภูฏานจึงใช้ชีวิตที่มีความสุขอย่างธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลใจหรือทุกข์ใจใด ๆ อันเป็นสิ่งเร้าทั้งหลายจากกระแสความเจริญของทั่วโลก ซึ่งนักท่องเที่ยวยกให้ภูฏานนั้นเป็นสวรรค์บนดินแห่งสุดท้ายที่ยังมีอยู่บนโลกนี้ครับ